ORN’s Life in the USA

j

by oORn

}

12.06.2020

อยากจะเขียนมานาน แต่ไม่ว่างสักที (อันนี้ข้ออ้างค่ะ จริงๆแล้ว ขี้เกียจ ฮ่าๆๆ)
ต้องการมาเขียนเรื่องการวางแผนชีวิตสักหน่อย แต่ละคนมีเป้าหมายแตกต่างกันออกไป
เราเคยตั้งเป้าหมายว่าอยากทำงานได้ตำแหน่งดีดี มีเงินเยอะๆ สร้างความมั่นคงให้ลูก
แต่โควิดทำให้เราตระหนักว่าเรามัวแต่เสียเวลาที่จะได้เห็นลูกโต ร่างกายพัง ชีวิตคู่พัง
เราเลยต้องมาวางแผนใหม่ เพราะอยากเต็มที่กับลูกมากขึ้น เด็กนี่โตแล้วโตเลยนะจ๊ะ
กอดหอมกันตลอด เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม

อรมาด้วยวีซ่านักเรียนค่ะ กะว่ามาเรียนภาษา ทำงานไปด้วยเก็บเงิน เพื่อสอบเรียนโทต่อ
ความฝันกับความจริงมันต่างกันมาก

ยาวหน่อยนะคะ หรือจะเลื่อนไปอ่านเนื้อความหลักๆที่ Part 2 ได้เลยค่ะ

โรงเรียนที่มาเรียนภาษาคือแบบคนไทยทั้งนั้นเพราะค่าเทอมถูกมาก คนไม่ได้มาเรียนกันจริงๆ
เรียนอยู่หกเดือน รู้สึกไม่ได้อะไรเลย เลยคิดว่าไม่ได้ละ จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้
แต่ทำยังไงละ ตังก็ไม่มี ถ้าย้ายไปโรงเรียนอื่นค่าเทอมก็จะแพงขึ้น เลยตัดสินใจหางานใหม่
จากที่ทำร้านไทย ก็ลองไปสมัครร้านเอเชียอื่นๆบ้าง
ผลจากการเสี่ยงก้าวออกจาก comfort zone ครั้งนั้นคือเราทำงานจำนวนชั่วโมงเท่าเดิม
แต่ได้เงินมากขึ้นสองเท่าตัว ทีนี้เราก็มาคำนวนค่าใช้จ่ายทั้งหมดว่าในวันที่ได้ทิปแย่ๆ
เฉลี่ยแล้วเราทำงานเหลือเก็บเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราจ่ายค่าเรียนเพิ่ม ไหวที่เท่าไหร่
ในที่สุดก็ตัดสินใจลงเรียนที่ community college ในดาวนทาวนชิคาโก
เพราะมี Art department ที่มีวิชาที่เราสนใจทั้งนั้นเลย แผนก็คือลงเรียน ESL 99 = 6 หน่วยกิต
และเราต้องเติมอีก 6 หน่วยกิจถึงจะเป็นฟูลไทม์ ตามที่วีนักเรียนกำหนด
ซึ่งอรลงเรียนภาพพิมพ์ไป และทำให้รู้ว่าอาจารย์จากที่นี่คืออาจารย์ที่สอนที่
school of the art institute of chicago (SAIC) ด้วย
ทำให้เราได้รับคำแนะนำดีดีมาตลอด เราลงเรียนวิชาทางศิลปะซ้ำๆ
ภาพพิมพ์ เซรามิค เขียนแบบสถาปัตย์ ลงคลาสเดิมๆนี่แหละ
สามเทอม ได้ Dean list สองเทอมเลยน๊าขอโม้หน่อย

เอาละพอร์ตพร้อม คนพร้อม เงินไม่พร้อมจ้าาาาาาาา คราวนี้ก็ถึงคราวตามล่าหาทุนการศึกษา
เราก็เข้าร่วม Portfolio day ทุกเทอมที่ SAIC ซึ่งเป็นวันที่มหาลัยจากทั่วประเทศด้านศิลปะ
กี่มหาลัยไม่รู้ รู้แค่ว่าเราแวะไปประมาณ 50 โต๊ะ ขั้นตอนก็คือเดินเข้าไปแนะนำตัวกับ recruiter
ของมหาลัยที่เราสนใจ โชว์แฟ้มผลงาน และพูดคุยถามตอบ ทำวนไป จนหมดแรง หรือหมดวัน
ครั้งแรกที่ไป หอบฟีดเบคกลับบ้านเต็มเลย
แต่ไม่มีออฟเฟอร์ใดใดทั้งสิ้น จนปีครึ่ง หรือ 3 semester / portfolio days
ถึงได้ออฟเฟอร์ที่ MINNEAPOLIS COLLEGE OF ART AND DESIGN แต่ได้ทุนแค่ 25% นะ
โหหหหหห ใครจะไปว่ะ หนาวก็หนาว ส่วน SAIC เค้าบอกว่างานเรามัน Mass ไปหน่อย สรุป ไม่ได้ไปไหน
อยู่ที่เดิม ตอนนั้นเริ่มขายงานแล้ว เริ่มรับงานวาดรูป และออกแฟร์ และมีโปรดักซ์ฝากขายอยู่ตาม
local shop ในชิคาโกบ้างแล้ว
เลยไม่ได้รู้สึกว่าอยากย้ายไปไหน แต่มันก็ทำให้เราต้องมาคิดแล้วว่าจะเอายังไงต่อไปกับชีวิต
จะให้ชั้นเปลี่ยนสไตล์งานเพื่อให้ได้เข้าอาร์ตสคูลก็ไม่ใช่เรื่องปะเนี่ย แล้วต้องเป็นหนี้ด้วยนะ
ค่าเรียนที่ SAIC สมัยนั้นนี่ $1450 per credit ต้องเรียน 60 หน่วยกิตถึงจะจบ $87000
เราควรจะเรียนหรือควรจะถอย เราตัดสินใจถอยค่ะ
เพราะคิดว่าปริญญาโทด้านศิลปะนี่ แหมมมม มันไม่ค่อยจะ makes financial sense สักเท่าไหร่
** อันนี้ความเห็นส่วนตัวเราเฉพาะด้านศิลปะนะคะ ด้านอื่นๆ ลุยเลยค่ะ เรียนจบมายังไงก็คุ้ม

แล้วงานก็เข้าค่ะ เทอมถัดมา city college ที่เรียนอยู่ประกาศว่าเทอมหน้าจะขึ้นค่าเทอม
จาก $3,750 เป็น $9000 ซึ่งคำนวนแล้ว ต่อให้ย้ายไปเช่าบ้านที่มีรูมเมท หรือหางานทำเพิ่ม
ให้ตายยังไงเราจ่ายไม่ไหวเราเลยบอกแฟนว่า หมดเทอมนี้ชั้นกลับบ้านละนะ จ่ายม่ายหว่าย
แฟนเราเลยบอกว่างั้นก็แต่งงานกัน ยูจะได้โฟกัสในสิ่งที่อยากทำจริงๆ
เราถือว่าเราโชคดีมาก แฟนไม่รวย แต่แฟนเชื่อในตัวเรา

ปัญหาหลักหมดไป บ่วงที่พันอยู่ก็เริ่มคลายออก
พอมีใบทำงาน อาจารย์เลยเสนองาน TA ให้เราที่ห้องภาพพิมพ์
เราก็ทำควบคู่ไปกับร้านปิ้งย่างญี่ปุ่นชื่อดัง หน้าร้อนก็ออกงานแฟร์ ตอนนั้นคือมีความสุขและสนุกมาก
เพราะงานเสิร์ฟเงินดี จนเราไม่ต้องโฟกัสว่าจะต้องทำเงินกับงานศิลปะที่เราทำ
เราสามารถทำเพราะใจรักได้
และงาน TA ทำให้เราสามารถใช้อุปกรณ์ แท่นพิมพ์ที่โรงเรียนได้อีก โอ๊ยมีความสุข

หลังจากนั้นไม่นาน เราก็ท้อง ความเป็นแม่นี่พุ่งสูงสุด เริ่มเครียด ไม่ได้ละนะ จะมาลอยไปลอยมาแบบนี้ไม่ได้
วางแผนใหม่ ซื้อคอนโดด้วยเงินเก็บตัวเอง กู้ชื่อเราคนเดียว เพราะเราเครดิตดี แฟนเครดิตแย่ถึงแย่ที่สุด
งานขายของเริ่มทำเงินได้ดี ขึ้นเพราะจับทางได้ว่าคนชอบแบบไหน
เราทำงานเสริฟจนถึงเจ้านายบอกให้หยุดเพราะอีก 2 wks จะถึงกำหนดคลอด
แหม ไอ้เรารึก็รีบทำงานเก็บเงินเพราะจะเลี้ยงลูกเอง ส่วนนายกลัวมาคลอดที่ร้านเค้า ฮ่าๆ

============= Part 2 ==================

อรอยู่บ้านเลี้ยงลูกได้สองปี เครียดมาก เพราะสงสารแฟน
งานเราขายได้เรื่อยๆ แต่พอมีลูกเล็ก เวลาไปออกงานแฟร์มันลำบากมาก
แฟนเราต้องทำงานสามจ๊อบ ทำงานออฟิตเสร็จไปทำเสริฟ และขับอูเบอรวันที่ไม่ได้ทำเสริฟ
เราเลยหางานพาร์ทไทม์ทำ ข้อแม้คือต้องได้เงินดี และสลับเลี้ยงลูกกับแฟน
เอาวะ ลองสมัคร Grand lux cafe ซึ่งเป็นเครือเดียวกับ Cheesecake factory ทำได้เก้าเดือน
เราสมัครเมเนเจอร์ที่แพนด้า แฟนไม่ต้องทำงานหลายที่แล้ว เราเอาลูกเข้าโรงเรียนในดาวนทาวน์
ไม่งั้นแฟนจะไปรับกลับบ้านไม่ทัน ค่าเรียน Montessori ที่ลูกเราเคยไป จ่ายเดือนละ $2,500

มานึกๆดู ก่อนหน้านี้เราทำงาน 60- 70 ชมต่ออาทิตยเพื่อเอาเงินไปให้คนอื่นดูลูกเรา
ในขณะที่เราไม่มีเวลาให้ลูกเลย แถมทะเลาะกับสามีตลอด อรเป็นจีเอ็มอยู่จนถึง lock down
สาขาที่เราทำปิดชั่วคราวเราเคลมเงิน UI คุณเชื่อไหม
เราได้เงินน้อยกว่าตอนทำงานประมาณ $1,000 / paycheck
แต่เรามีเงินเก็บมากกว่าตอนทำงาน และชีวิตครอบครัวเราดีขึ้นมาก
แต่ก่อนทำงานอาทิตย์ละ 60 – 70 hrs ไม่ได้เจอหน้าลูกเลย ว
ันหยุดก็เหนื่อยเกินกว่าจะเล่นกับลูก โควิตทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น
เราหยุดอยู่บ้านก็ลงเรียนคลาสออนไลน์เก็บใบประกาศไปเรื่อยเปื่อย
ชีวิตอย่าหยุดที่จะเรียนรู้นะจ๊ะสาวๆเงินเก็บมาจากไหน
ในเมื่อได้เงินน้อยกว่าตอนทำงานเงินมาจากค่าเรียนลูกชายที่เราไม่ต้องจ่ายแล้ว
เพราะเราเอาลูกออกจากโรงเรียนมอนเตสตั้งแต่ต้นๆล็อคดาวน์เลย
บางคนอาจจะมองว่ามีเงินเหลือสำหรับใช้จ่าย $2500 เรากลับเอาเงินจำนวนนี้แยกไว้ต่างหาก
ทุกเดือน ใส่เข้าไปในพอร์ตหุ้น เพราะชีวิตไม่แน่ไม่นอน เงินคนว่างงาน
รัฐให้มาได้ก็หยุดให้ได้เหมือนกัน เราต้องไม่หวังพึ่งแต่รัฐ เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้
หุ้นก็เช่นกัน ต้องเล่นอย่างมีสติ ทุนน้อย ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ

เราอ่านข่าว ฟัง NPR ตลอด Podcast Bigger Pocket เวลาเบื่อ เพราะมัน Hype เราดี
พอรู้ว่าดอกเบี้ยบ้านลงมาต่ำมากๆ เลยชักจูง (ออกแนวหลอกล่อมากกว่า) แฟนให้ซื้อบ้านนอกเมือง
และปล่อยเช่าคอนโดที่อาศัยอยู่ตอนนี้
เพราะบริษัทแฟนเปลี่ยนมา work from home อย่างน้อยๆไปจนถึงปี
หน้ารอบนี้ต้องกู้ชื่อแฟนคนเดียวเพราะเราไม่ได้ทำงาน
ตลอดห้าปีทีแต่งงานกันคือเรา rebuilt เครดิตแฟนอย่างระมัดระวัง
และแฟนกู้ผ่านเพราะเครดิตดีแล้ว เย้เย้ ความพยายามไม่สูญเปล่าเราขายหุ้นมาดาวน์บ้าน
แต่ดาวน์แค่ 3.5% ยอมจ่าย PMI
เพราะมองว่าเราสามารถเอาเงิน 16.5% ที่ควรจะเอาไปดาวน์บ้าน (20%)
ไปทำให้มันงอกเงยได้มากกว่าค่า PMI $160 ต่อเดือนได้ (จริงๆก็มีไม่ถึงด้วยนะแหละ ฮ๋าๆ)
เรื่องบ้านจบไป มาต่อด้วยเรื่องเงิน UI และเรื่องงานเรารู้ว่าเงิน UI จ่ายสูงสุด 26 wks
และเพิ่มให้อีก 13 wks โอเค จดไว้ก่อนเงินนี้ขึ้นอยู่กับร้านด้วย
ถ้าร้านเราเปิด เราต้องกลับไปทำงาน ถ้าเราไม่กลับไปทำงาน เราก็อดได้เงินตรงนี้

และแล้วก็มาถึงวันที่ร้านเราก็เปิดขายอีกครั้ง
หัวหน้าบอกเราล่วงหน้า 3 อาทิตย์ เราบอกหัวหน้าไปว่าเรายังไม่สะดวกกลับไปทำงาน
เพราะสามีเป็น polycystic kidney และตาบอดข้างนึง และความดัน เราไม่อยากเสี่ยง
เรารู้อยู่แล้วว่าแพนด้าไม่ไล่เมเนเจอร์ออกถ้าไม่จำเป็น (Turn over rate)
เรารู้ว่าเค้าจะต้องให้เราเป็น LOA ครั้งแรกได้ LOA มาครอบครองสามสิบวัน
ซึ่งจริงๆแล้วมันต่อได้ เค้าขู่เราไปงั้นแหละ
เพราะสรุปแล้วใช้ LOA ไปทั้งหมด 45 วันถ้วน ข้อนี้สอนให้รู้ว่า รู้เค้ารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งนะจ๊ะ

เราก็จัดการนัดหมอข้อเท้าที่เราหามาตลอดสองปี เพื่อทำการนัดผ่าตัด
(ซึ่งหมอบอกให้ผ่ามาตั้งแต่สองปีที่แล้ว)
ทำไมเราถึงมานัดผ่าตัดเอาตอนนี้ ทำไมหยุดอยู่บ้านตั้งนานถึงไม่ผ่า

เพราะ! เพราะตลอดเวลาที่ทำงานแพนด้ามา
เราจ่ายเงินค่า short term disability insurance มาตลอดเพื่อการนี้
เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเรามีปัญหาข้อเท้า ประกันตัวนี้ หากเราทำงานไม่ได้ จะจ่ายเงินให้เราสูงสุด 6 เดือน
ขึ้นอยู่กับหมอเขียนใบให้งานที่เราทำต้องยืนตลอดเวลา
เรารู้อยู่แล้วว่าเราจะได้หยุดหกเดือน (ถ้าทำออฟิตได้หยุดสองเดือนในเคสแบบเรา)
ช่วงที่หยุดอยู่บ้านตอนแรกเรารีบโทรเชคกับประกันเลยว่า หากเราหยุดงานเพราะร้านปิด
คุณมีวิธีคำนวนเงินจ่ายยังไง เพราะตามเดิมคือต้องนับจาก 4 paychecks ล่าสุด
ทางประกันบอกว่าสำหรับปีนี้ จะนับจากรายได้ทั้งปีเอามาหารเฉลี่ย
ซึ่งรายได้รวมโบนัสเราระหว่าง Jan – March 17th (วันสุดท้ายที่ทำงาน)
คือ $34,xxx = เราจะได้เงินจากประกันอาทิตย์ละ $561
ซึ่ง Not bad เพื่อแลกกับการได้ใช้เวลาอยู่กับลูกนานอีกหน่อย
และไม่ต้องเอาความเสี่ยงมาให้สามี อันนี้คือต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนจะวางแผนทำอะไรนะจ๊ะ
เมื่อได้วันผ่าตัดมาแล้ว ก็ส่งเรื่องเข้า HR จาก LOA ก็กลายเป็น FMLA แทนข้อดีคือ
เรายังคงสถานะพนักงานของแพนด้า ไปเรื่อยๆ

เย้ เย้ งานก็ไม่ต้องทำ ผ่าตัดก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลยเพราะประกันครอบคลุมหมด
และที่สำคัญคือยังคงมีเงินรายได้เข้าด้วยทั้งหมดนี้ไม่ใช่โชคช่วยนะคะ
เราชอบอ่าน เราชอบหาความรู้ เราชอบตั้งคำถามเรารู้ตัวว่าเราไม่เก่ง
และยังมีข้อบกพร่องอีกเยอะ เพราะฉะนั้นเราจะไม่หยุดหาความรู้ ไม่หยุดเรียนรู้ค่ะ

Happy learning นะคะ

Spread the love

Related Posts

Art For Community

These are free – download digital files. I am joyfully making this available to the public. You are welcome to use these in your...

read more

About the Author

oORn

Related Posts

Art For Community

Art For Community

These are free – download digital files. I am joyfully making this available to the public. You are welcome to use these in your...

Subscribe

Subscribe to our mailing list and get interesting stuff and updates to your email inbox.